ความรู้และสภาวะแห่งการรู้

            เดวิด โบห์ม เป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ชั้นนำของโลก เขาเป็นชาวอเมริกัน เกิดในปี ค.ศ. ๑๙๑๗ และเติบโตในรัฐเพนซิลเวเนีย แต่ในปี ค.ศ. ๑๙๕๑ หรือ พ.ศ. ๒๔๙๔ ชะตาชีวิตทำให้เขาต้องระหกระเหทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปอาศัยต่างแดน โบห์มต้องอพยพจากสหรัฐอเมริกาเพราะถูกคุกคามเสรีภาพ เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกเรียกตัวไปสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบกิจการที่ไม่เป็นอเมริกัน (Un-American Activities Committee) ในยุครัฐบาลขวาจัดของสหรัฐอเมริกา
            แต่โบห์มก็ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการ และอพยพหลบหนีไปอยู่ที่บราซิลระยะหนึ่ง จากนั้นจึงอพยพไปอิสราเอล และมาปักหลักค้นคว้าวิจัยอยู่ในอังกฤษจนเสียชีวิตในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ตลอดชีวิตการทำงานของโบห์ม เขาได้เสนอทฤษฎีสำคัญเกี่ยวกับควอนตั้มฟิสิกส์ไว้หลายประการ และเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ควอนตั้มฟิสิกส์อื่นๆ อีกหลายคน ที่มักพบกับปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาและไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผลหรือสามัญสำนึกปกติ ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้โบห์มและนักวิทยาศาสตร์ ควอนตั้มฟิสิกส์อีกหลายคนหันมาสนใจศาสนาและปรัชญาตะวันออก
           สำหรับโบห์ม ได้รับอิทธิพลจากกฤษณะมูรตินักปราชญ์ชาวอินเดีย และได้ให้ความสนใจสมาธิภาวนาอย่างมาก เขาเชื่อว่าเมื่อมนุษย์มีความรู้สมบูรณ์ขึ้น วิทยาศาสตร์กับศิลปะที่เคยเป็นคนละเรื่องกันอย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบันนั้น จะผสมกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด เพราะความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของมนุษย์นั่นเอง ที่ทำให้ศาสตร์สาขาต่างๆ และศิลปะกลายเป็นคนละเรื่องแยกขาดออกจากกัน
        สาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์หันมาสนใจศาสตร์ตะวันออกเกี่ยวกับสมาธิภาวนาและการฝึกจิตมากขึ้นนั้น เป็นเพราะการทดลองและข้อค้นพบหลายอย่างในควอนตั้มฟิสิกส์ ได้ทำให้ความคิดวิทยาศาสตร์แบบเดิมเป็นปัญหา เช่นพบว่าสิ่งที่ถูกสังเกตในการทดลองเดิม ที่เคยยึดถือกันว่ามีคุณลักษณะคงที่แน่นอน กลับมีคุณลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามการสังเกตรับรู้ของมนุษย์
        หรือจากเดิมที่เคยคิดว่า สสารและพลังงานเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเป็นสองสถานะที่แยกขาดจากกัน วิทยาศาสตร์ใหม่กลับพบว่า สิ่งที่สังเกตตรวจวัดในการทดลองนั้นมีความไม่แน่นอนและไม่แบ่งแยกเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเด็ดขาด ปรากฏการณ์เดียวกันนั้น บางขณะแสดงตัวเป็นอนุภาค แต่บางขณะกลับแสดงตัวเป็นคลื่น เรียกว่า ประเดี๋ยวเป็นสสาร ประเดี๋ยวกลับกลายเป็นพลังงาน ขึ้นอยู่กับการสังเกตตรวจวัด และเครื่องรับรู้ จากวิทยาศาสตร์แบบเดิมที่ถือว่า ความรู้ที่ถูกต้องเที่ยงตรงต้องเกิดจากการแยกผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตออกจากกัน และความรู้ที่เป็นสากลจะต้องไม่ขึ้นกับจิตรับรู้ของมนุษย์นั้น วิทยาศาสตร์ใหม่กลับพบว่า ปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนสัมพัทธ์และสัมพันธ์กับการรับรู้อย่างแยกไม่ออก จะเรียกว่า สรรพสิ่งเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับจิตรับรู้ก็ได้ เมื่อความแน่นอนกลายเป็นไม่แน่นอน เพราะไปขึ้นกับการรับรู้ ความเป็นเหตุเป็นผลที่แน่นอนตายตัวและไม่ขึ้นกับจิต จึงกลายเป็นเรื่องที่สับสนอย่างยิ่งจนคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ แต่โบห์มต่างจากนักฟิสิกส์บางคนตรงที่เขาเชื่อว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนและสับสนนั้น แท้จริงมีกฎเกณฑ์หรือความเป็นระเบียบที่แฝงเร้นอยู่ ซึ่งโบห์มเรียกว่า Implicate order
          แต่การที่จะเข้าถึงความเป็นระเบียบที่แฝงเร้นอยู่นั้น จะต้องอาศัยภูมิจิตภูมิปัญญาที่แตกต่างออกไปจากจิตคิดแบบวิทยาศาสตร์เดิม คือต้องเป็นจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาดี และเป็นอิสระจากกรอบความคิด ภาษา และระบบสัญลักษณ์ ที่ได้กลายเป็นพันธนาการจองจำวิธีคิดของวิทยาศาสตร์แบบเดิมไปเสียแล้ว
          ในแง่นี้ โบห์มให้ความว่า คณิตศาสตร์ก็เป็นระบบสัญลักษณ์อย่างหนึ่งด้วย และวิทยาศาสตร์เก่าได้ติดยึดกับคำอธิบายที่เป็นตัวเลขและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มากเสียจนไม่สามารถรับรู้ความจริงแบบอื่นได้ เรียกว่า ต้องทำทุกอย่างให้เป็นตัวเลขจึงจะคุยกันแบบวิทยาศาสตร์ได้
           โบห์มคิดว่า กรอบความคิด ภาษา และสัญญะ เหล่านั้นมีปัญหา และการที่จะก้าวพ้นจากอุปาทานการติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ได้ นักวิทยาศาสตร์ต้องฝึกให้รู้เท่าทันวิธีคิดและจิตรับรู้ของตนเองด้วย ในระยะหลังนี้ เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหันมาสนใจศาสตร์ทางจิตและศาสนาตะวันออกต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะมีการจัดการสนทนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกกับองค์ดาไล ลามะ แห่งธิเบตที่จัดขึ้นทุก ๒ ปี ติดต่อกันมากว่า ๒๐ ปี นับตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๘๗ แล้วนั้น ได้ทำให้เห็นได้ว่าศาสนาและภูมิปํญญาตะวันออกสามารถให้คำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่งได้อย่างน่าสนใจและลุ่มลึกยิ่งกว่าทัศนะแบบวัตถุนิยมกลไกของวิทยาศาสตร์เสียอีก
           วิทยาศาสตร์กำลังอภิวัฒน์ตัวเองอย่างช้าๆ ด้วยการเรียนรู้จากภูมิปัญญาตะวันออก แม้เราจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าวิทยาศาสตร์ใหม่จะลงเอยอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนไปก็คือ ทัศนะของวิทยาศาสตร์เดิมที่ถือว่า ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นความรู้สากล ไม่ขึ้นกับจิตรับรู้ของมนุษย์ หรือเรียกว่าความรู้กับสภาวะแห่งการรู้นั้นแยกขาดจากกันได้
      ความรู้แบบวิทยาศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่คนรู้คนหนึ่งเอามาอธิบายให้อีกคนหนึ่งรู้ได้ เพราะความรู้เป็นเรื่องภายนอกที่บอกเล่า เรียนรู้กันได้จากการคิด โดยไม่เกี่ยวกับพื้นภูมิของจิต แต่ภูมิปัญญาตะวันออกบอกว่า ความรู้กับสภาวะแห่งการรู้ที่แท้จริงนั้น มิอาจแยกจากกัน และความรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะแห่งการรู้นั้นคือปัญญา
        โบห์มเชื่อว่า การที่นักฟิสิกส์ต้องพบกับปรากฏการณ์ที่สะท้อนความเป็นจริงแบบใหม่นี้ เป็นโอกาสดีที่จะเข้าถึงความรู้และสภาวะแห่งการรู้ใหม่ เพราะความจริงใหม่นี้จะท้าทายและรื้อเลาะอุปาทานที่เคยติดยึดอยู่ได้ หากเป็นเช่นนั้น วิทยาศาสตร์ใหม่อาจเป็นหนทางหนึ่งของการเข้าถึงปัญญาที่แท้จริงได้ เพราะการทำงานวิทยาศาสตร์เพื่อให้รู้เท่าทันความคิดและให้จิตเป็นอิสระจากอุปาทานนั้น แท้จริงก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง

สามสิ่งในชีวิต ที่ไม่หวนกลับ

สามสิ่งในชีวิต ที่ไม่หวนกลับ

เวลา คำพูด โอกาส

สามสิ่งในชีวิต ที่เราจะขาดเสียมิได้

ความสงบของจิตใจ ความซื่อสัตย์ ความหวัง

สามสิ่งในชีวิต ที่มีคุณค่าต่อชีวิต

ความรัก ความมั่นใจในตังเอง เพื่อน

สามสิ่งในชีวิต ที่ไม่แน่นอน

ความฝัน ความสำเร็จ โชคชะตา

สามสิ่งในชีวิต ที่นำไปสู่ความพินาศ

เหล้า ความเย่อหยิ่ง ความโกรธ

แสงแห่งพุทธะ

แสงแห่งพุทธะ
มนุษย์ปุถุชนมักถูกกิเลสครอบงำปัญญาอย่างหนาแน่นจนไม่อาจพบแสงแห่งพุทธะได้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีแต่ความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก เมื่อเห็นสิ่งใดที่ตนเองปฏิบัติไม่ได้ แต่ผู้อื่นกระทำได้ ก็จะพากันกราบไหว้อ้อนวอน ให้ผู้นั้นปกปักรักษาจนต้องกลายเป็นผู้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ นายจิม โจนส์ เจ้าลัทธิวิปริตในสหรัฐอเมริกา ผู้เผยแพร่ลัทธิวันสิ้นโลกจนได้สาวกมากมาย และในที่สุด ก็ได้กำหนดวันนัดหมาย ให้สาวกทั้งปวงฆ่าตัวตายหมู่เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็ปรากฏว่ามีผู้หลงเชื่อ อย่างงมงายจนยอมฆ่าตัวตาย
ตามไปนับพัน
ความหลง ที่ปิดบัง ปัญญา แห่งความรู้ (ธรรมญาณแห่งตน) ได้ก่อให้เกิดการกระทำที่ไร้เหตุผล
จนกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะมากมาย เช่น ผู้คนที่พากันเช่ารถบัสแห่กันไปที่บ้านหลังหนึ่งในจังหวัด
ทางภาคใต้ เพราะมีข่าวลือว่าหมาออกลูกเป็นคน ซึ่งทันทีที่ได้ยินผู้คนเหล่านั้นต่างก็ตื่นเต้น อยากจะ
ไปกราบไหว้บูชาเพียงเพื่อจะขอเลขเด็ดแทงหวย ทั้ง ๆ ที่
ลูกหมาที่เพิ่งคลอดออกมานั้นพิการ มีสองขาหน้าแบน ๆๆ และสิ้นใจตายไปแล้ว
ข่าวลักษณะนี้ปรากฏอยู่บ่อย ๆ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หมูออกลูกเป็นหมาหรือเป็นช้าง ต้นไม้ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดพิสดาร ตลอดจนผู้มีอภินิหารอีกหลากหลายเรื่องราว ล้วนเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า......
แม่น้ำแห่งความหลงผิดมิเคยเหือดแห้งไปจากโลกนี้
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่นับถือตัวเองชนิดหลงใหลได้ปลื้มในความดีงาม หรือ ความสามารถที่เหนือ
ผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็มีพฤติกรรมก็ไม่ต่างไปจากผู้หลงคนอื่น ๆ และเขาเหล่านั้นก็อาจสร้างบาปเวร
กรรมเวรโดยไม่รู้ตัวและอย่างประมาณมิได้
จะมีก็แต่ผู้พบ ธรรมะ หรือผู้ที่รู้เท่าทันกิเลสที่มันเกิดขึ้นในใจของเราเอง (ธรรมญาณแห่งตน)
เท่านั้นที่จะสามารถดำรงตนอยู่ในความเสมอภาค เพราะเห็นผู้อื่นมีทุกอย่างเสมอเหมือนกับตน
พระพุทธองค์ ทรงยืนยันถึง ความเสมอภาค ของเวไนยสัตว์ว่ามิได้มิอะไร แตกต่างกันเลย เพราะแต่เดิมมา ปัญญา คือความรู้ มีแหล่งที่เดียวกันและมีสภาวะ คุณสมบัติเสมอเหมือนกันทุกประการ ดังพระวจนะของพระอริยเจ้าที่ว่า “วางมีดลง ....จึงเป็นพุทธะ”
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ ความรู้แจ้งเอาไว้ว่า
“ภายในธรรมญาณย่อมมี องค์ตถาคตแห่งความตรัสรู้ ซึ่งสามารถส่องแสง อันแรงกล้าออกมาทำความสว่างที่ประตูภายนอกทั้งหก และควบคุมไว้ให้บริสุทธิ์”
พระวจนะนี้มีความหมายว่าทุกคนมีความสามารถรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง สามารถควบคุมการเคลื่อน
ไหวแห่งจิตมิให้เกิดกิเลส คือ ความสกปรกที่จะมาทำลายความบริสุทธิ์ แห่งพุทธจิต
ประตูทั้งหก ซึ่งเปรียบเสมือน มหาโจร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อันเป็นหนทางพาให้ความ โลภ โกรธ หลง ไหลวนเวียนเข้าไปใน ธรรมญาณ จนกลายเป้นคนหลงเลอะเลือน
ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
อายตนะ ทั้งหกนี้เป็นต้นกำเนิดที่ก่อให้เกิด อารมณ์ สาม ระดับ คือ หยาบ กลาง และละเอียด ขึ้นอยู่กับอำนาจการปรุงแต่งของจิตญาณที่สั่งสมเอาไว้มากน้อย ทั้งในปัจจุบันชาติ
และจากอดีตชาติ
จิตที่ปรุงแต่อารมณ์ทั้งปวงและสั่งสมจนกลายเป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ใน ขันธสันดาน ได้
กลายเป็น วาสนาบารมี ติดตามไปชาติแล้วชาติเล่า ถึงแม้บรรลุถึงขั้นอรหัตผลแล้ว วาสนาบารมี
ก็ยังติดตามมาได้ ดังเช่น พระสารีบุตร
ครั้งหนึ่ง เศรษฐีท่านหนึ่งเกิดมีศรัทธาใคร่ถวายผ้าจีวรสามผืน จึงได้นิมนต์ให้พระสารีบุตรมารับประเคนที่บ้านของตน ระหว่างทางไปบ้านเศรษฐี ต้องข้ามท้องร่องสามแห่ง พระสารีบุตรกระโดดข้ามท้องร่องแรกด้วยความว่องไว จนเศรษฐีแอบคิดด้วยความขัดใจว่า
“สมณะรูปนี้ดูไม่สำรวม อย่ากระนั้นเลย เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนก็พอ”
เมื่อเดินทางมาถึงท้องร่องที่สอง พระสารีบุตรก็ยังคงกระโดดข้ามไปเช่นเดิม เศรษฐีก็ยิ่งคิดขุ่นเคืองมากขึ้น กำหนดในใจว่าจักถวายผ้าเพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น
พอมาถึงท้องร่องที่สาม พระสารีบุตรไม่กระโดดข้าม แต่กลับเดินอ้อมไปอย่างสำรวม เศรษฐีจึงถามขึ้นด้วยความฉงนสนเท่ห์ว่า “ทำไมท้องร่องนี้พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดข้ามอีก
เล่าขอรับ ? “ อ้าว ถ้า อาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้ โยมก็จะไม่ได้ถวายผ้าเลยน่ะซิ ?
ในอดีตชาติ พระสารีบุตรเคยถือกำเนิดเป็นวานร นิสัยกระโดดโลดเต้นจึงติดตัวมาด้วยแม้ในชาติสุดท้ายที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังมิอาจตัดขาด วาสนาแห่งวานรได้อย่างหมดจด ฯ

ความคิดของคน

ความคิด
ไม่มีวันไหนที่เราจะเว้นว่างจากความคิด ความคิดติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงนับว่าใกล้ชิดสนิทกับเรายิ่งกว่าเงาเสียอีก เพราะแม้แต่ยามค่ำคืนเดือนมืด ความคิดก็มิได้หายไปไหน ถึงตาจะมองอะไรไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น แต่ความคิดก็ยังคอยช่วย เราคาดเดาว่า มีสิงสาราสัตว์หรือภยันตรายอยู่รอบตัวเราหรือไม่ แต่ถ้าจะบอกว่าความคิดเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเรา ก็คงไม่ได้ บ่อยครั้งความคิดแทนที่จะคอยติดตามเรา กลับชักลากเราไปไหนต่อ ไหนตามใจมัน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เราเครียดก็เพราะห้ามความคิดไม่ได้มิใช่หรือ รู้ทั้งรู้ว่า ความโกรธนั้นไม่ดี แต่ใจก็คอยคิดแต่เรื่องที่ทำให้เราโกรธอยู่นั่นแหล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และยิ่งโกรธก็ยิ่งคิด สลัดความคิดไปไม่ได้สักที ราวกับว่า เจ้าตัวความคิดคอยบัญชาเรา ให้เวียนกลับไปหาเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่ามันจะพอใจ แต่มันก็ไม่เคยพอใจสักที ต่อเมื่อเจอฤทธิ์ยานอนหลับนั่นแหล่ะ จึงสงบลงได้ ถ้าชีวิตนี้ เรามีอำนาจที่จะควบคุมอะไรได้สักอย่างหนึ่ง เราคงอยากมีอำนาจควบคุมความคิดกันทั้งนั้น แต่เป็นเพราะควบคุมความคิดไม่ได้ เราจึงอยู่อย่างสุขๆ ทุกข์ๆ ขึ้นๆ ลงๆ หาความสงบใจไม่ได้ อยู่ว่างเมื่อไร เป็นต้องกระสับกระส่ายเมื่อนั้น คนสมัยนี้ พอถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ ต้องหาเรื่องออกไปช็อปปิ้ง เพื่อ “ความสบายใจ” ด้วยเหตุนี้เองศูนย์การค้า จึงกลายเป็นวัดสมัยใหม่ของคนยุคนี้ไปแล้ว อย่างเต็มภาคภูมิ แต่เราจะขลุกอยู่ในศูนย์การค้าได้นานสักเท่าใดกัน พอเบื่อแล้วก็ต้องแล่นไปที่อื่นต่อ อย่างน้อยไปเที่ยวบ้านเพื่อนก็ยังดี โรงหนังก็ยังได้ แต่แล้วในที่สุดก็ต้องกลับบ้าน เพื่อจะต้องมาเจอความหงุดหงิดงุ่นง่าน เพราะไม่รู้จะทำอะไรดี เลยต้องเอาเวลาว่างมา

เรื่องกำเนิดมนุษย์

เรื่อง มนุษย์
ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลกพระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้น
ในฐานะของวัวเพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ... ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว
50 ปีวัวย้อนกลับว่า ... 'ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปีน่ะหรือ?.. ฮึ! เมินเสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ เอาคืนไปเลย 30 ปี ถ้าได้ก็โอเค และพระเจ้าตอบตกลงวันต่อมา พระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของสุนัข หน้าที่ของเจ้าคือนั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปีสุนัขได้ฟัง ก็พูดขึ้นว่า ... นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี!
ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้ขอคืนชีวิต 10 ปีก็แล้วกัน พระเจ้าตอบตกลงวันต่อมา
พระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของลิง หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิง หลอกล่อคนให้หัวเราะ แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปีลิงได้ฟัง จึงตอบว่า .. อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ ตั้ง 20 ปี นะเหรอ?ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่ 10 ปีก็แล้วกัน พระเจ้าตอบตกลงวันต่อมา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ กิน นอน เที่ยว เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี มนุษย์ได้ฟัง ก็ต่อรองว่า ...ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปีนะเหรอเอาอย่างนี้ดีกว่า เราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี และลิง 10 ปี มาเป็นของเราเพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม? พระเจ้าตอบตกลงนั่นแหล่ะเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรกจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่น และไม่ต้องทำอะไรมากมาย30 ปี ต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว10 ปี ต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา10 ปี ต่อมา เป็นปู่, ย่า ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ เพื่อหลอกล่อหลาน เฮ้อ...!!!