ความคิดของคน

ความคิด
ไม่มีวันไหนที่เราจะเว้นว่างจากความคิด ความคิดติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงนับว่าใกล้ชิดสนิทกับเรายิ่งกว่าเงาเสียอีก เพราะแม้แต่ยามค่ำคืนเดือนมืด ความคิดก็มิได้หายไปไหน ถึงตาจะมองอะไรไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น แต่ความคิดก็ยังคอยช่วย เราคาดเดาว่า มีสิงสาราสัตว์หรือภยันตรายอยู่รอบตัวเราหรือไม่ แต่ถ้าจะบอกว่าความคิดเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเรา ก็คงไม่ได้ บ่อยครั้งความคิดแทนที่จะคอยติดตามเรา กลับชักลากเราไปไหนต่อ ไหนตามใจมัน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เราเครียดก็เพราะห้ามความคิดไม่ได้มิใช่หรือ รู้ทั้งรู้ว่า ความโกรธนั้นไม่ดี แต่ใจก็คอยคิดแต่เรื่องที่ทำให้เราโกรธอยู่นั่นแหล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และยิ่งโกรธก็ยิ่งคิด สลัดความคิดไปไม่ได้สักที ราวกับว่า เจ้าตัวความคิดคอยบัญชาเรา ให้เวียนกลับไปหาเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่ามันจะพอใจ แต่มันก็ไม่เคยพอใจสักที ต่อเมื่อเจอฤทธิ์ยานอนหลับนั่นแหล่ะ จึงสงบลงได้ ถ้าชีวิตนี้ เรามีอำนาจที่จะควบคุมอะไรได้สักอย่างหนึ่ง เราคงอยากมีอำนาจควบคุมความคิดกันทั้งนั้น แต่เป็นเพราะควบคุมความคิดไม่ได้ เราจึงอยู่อย่างสุขๆ ทุกข์ๆ ขึ้นๆ ลงๆ หาความสงบใจไม่ได้ อยู่ว่างเมื่อไร เป็นต้องกระสับกระส่ายเมื่อนั้น คนสมัยนี้ พอถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ ต้องหาเรื่องออกไปช็อปปิ้ง เพื่อ “ความสบายใจ” ด้วยเหตุนี้เองศูนย์การค้า จึงกลายเป็นวัดสมัยใหม่ของคนยุคนี้ไปแล้ว อย่างเต็มภาคภูมิ แต่เราจะขลุกอยู่ในศูนย์การค้าได้นานสักเท่าใดกัน พอเบื่อแล้วก็ต้องแล่นไปที่อื่นต่อ อย่างน้อยไปเที่ยวบ้านเพื่อนก็ยังดี โรงหนังก็ยังได้ แต่แล้วในที่สุดก็ต้องกลับบ้าน เพื่อจะต้องมาเจอความหงุดหงิดงุ่นง่าน เพราะไม่รู้จะทำอะไรดี เลยต้องเอาเวลาว่างมา

เรื่องกำเนิดมนุษย์

เรื่อง มนุษย์
ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลกพระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้น
ในฐานะของวัวเพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ... ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว
50 ปีวัวย้อนกลับว่า ... 'ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปีน่ะหรือ?.. ฮึ! เมินเสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ เอาคืนไปเลย 30 ปี ถ้าได้ก็โอเค และพระเจ้าตอบตกลงวันต่อมา พระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของสุนัข หน้าที่ของเจ้าคือนั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปีสุนัขได้ฟัง ก็พูดขึ้นว่า ... นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี!
ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้ขอคืนชีวิต 10 ปีก็แล้วกัน พระเจ้าตอบตกลงวันต่อมา
พระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของลิง หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิง หลอกล่อคนให้หัวเราะ แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปีลิงได้ฟัง จึงตอบว่า .. อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ ตั้ง 20 ปี นะเหรอ?ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่ 10 ปีก็แล้วกัน พระเจ้าตอบตกลงวันต่อมา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ กิน นอน เที่ยว เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี มนุษย์ได้ฟัง ก็ต่อรองว่า ...ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปีนะเหรอเอาอย่างนี้ดีกว่า เราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี และลิง 10 ปี มาเป็นของเราเพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม? พระเจ้าตอบตกลงนั่นแหล่ะเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรกจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่น และไม่ต้องทำอะไรมากมาย30 ปี ต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว10 ปี ต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา10 ปี ต่อมา เป็นปู่, ย่า ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ เพื่อหลอกล่อหลาน เฮ้อ...!!!

เวลาแห่งชีวิตคนเรา

เรื่อง: เวลาแห่งชีวิตชีวิตคนเรา เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว มันสั้นนัก มีเกิดและดับ เป็นธรรมดาโลก แต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่สิ มนุษย์ผู้มีปัญญา จึงควรที่จะดำรงชีวิต อย่างชาญฉลาด พระพุทธเจ้า เคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่า ทรัพย์สิน ที่พึงได้จากการประกอบกิจการ งานต่างๆนั้นควรแบ่งออกเป็น 4 กอง เท่าๆ กัน
กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสนกองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณกองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัวกองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค ์ความดีงาม ให้แก่สังคม
แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะ คนเรามักบ่นเสมอว่าง "ไม่มีเวลาๆ"แท้จริงแล้ว คนเรามีเวลา มากถึง 24 ชม. เพียงแต่เราจะบริหารเวลาอย่างไร จึงจะให้แก่คนรอบข้าง และทุกภารกิจ ได้อย่างเสมอภาคกัน หากแต่หลายๆ คนยังมัววุ่น แก่การทำงานโดยไม่ยอมแบ่งเวลา เหลียว หลังมองถึงบุคคลที่รัก และห่วงใย ตนเองเลยหรือ???บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน อย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับคิดว่า การกระทำดังนี้ เป็นเรื่อง ที่ถูกต้องแล้ว แต่นั่น คือ การกระทำที่โง่เขลาเป็นที่สุด ทุกคนมีเวลาวันละ24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลา ทั้งหมด ให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะงาน ของตนเองโดยไม่ยอม แบ่งปันเวลา ให้แก่ผู้ใด แม้กระทั่งตัวเอง เป็นผู้ที่เขลาเบาปัญญาที่สุดหากบริหารไม่ได้ แม้กระทั่งเวลา 24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว คนผู้นั้นจะบริหารอะไรได้ ทำไมคุณ จึงไม่แบ่งปันเวลา ให้เสมือนหนึ่ง การแบ่งปัน กองเงิน ตามคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า... ไม่ต้องแบ่งเวลา ให้เป็นสี่กองเท่าๆ กันหรอกเพียงแต่แบ่งปันเวลา ในแต่ละส่วน ให้เหมาะสมเท่านั้น8 ชั่วโมง สำหรับ การทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต8 ชั่วโมง สำหรับ การพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรง ไว้ต่อสู้กับหน้าที่การงาน และอุปสรรคในวันพรุ่ง5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่างๆ2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง59 นาที สำหรับดูแล และรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคมและ 1 นาทีของคุณ ที่มอบให้กับคนที่รัก และห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น จงอย่ากล่าวว่า"ไม่มีเวลา..." เพราะเวลา เป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลกนี้ ที่มีให้แก่มนุษย์ มนุษย์ทุกคน มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน ไม่มีใคร มีเวลามาก และไม่มีใคร มีเวลาน้อยไปกว่านี้ 24 ชั่วโมงใน 1 วันที่ มหาเศรษฐี หรือยาจก มีเท่าเทียมกัน ไม่ขาดเกิน แม้แต่เศษเสี้ยวของวินาที ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใด ที่กล่าวว่า "ไม่มีเวลา" จึงเป็นผู้ล้มเหลว ในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง ในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า "ไม่มีเวลา" เป็นข้อแก้ตัว เพื่อปกปิดความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเอง อย่างขลาดเขลา มนุษย์ผู้ฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต จึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงานอย่างเดียว แต่มนุษย์ผู้ฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเองได้อย่างลงตัว วันละ 24 ชั่วโมง ของตนเอง ที่มีไว้สำหรับ การทำงาน การพักผ่อน การเดินทาง มิตรภาพ ความรักความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตนี่แหละ คือ มนุษย์ผู้ชาญฉลาด ที่รู้จัก "ใช้เวลา" แล้ววันนี้.. คุณจะยัง อ้างเหตุผลว่า "ไม่มีเวลา" อีกหรือ?

ช่างไม้

มีช่างไม้สูงอายุคนหนึ่ง ต้องการที่จะเกษียญตัวเอง ก็เลยบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้าง เกี่ยวกับความต้องการที่จะเกษียณ และใช้ชีวิตหรูหรากับภรรยา ซึ่งช่างไม้ก็บอกว่า เขาอาจจะเสียดายค่าจ้างที่จะได้รับ แต่เขาก็ต้องการเกษียณ นายจ้างบ่นเสียดายที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป แต่ก็ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสักหลังหนึ่ง ช่างไม้ตอบตกลง ครั้นพอบ้านเสร็จ ก็พบว่ามันไม่ใช่ฝีมือของช่างผู้นี้เลยแม้แต่น้อย งานที่ออกมา เป็นงานแค่เปลือกนอก ไร้รสนิยม วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดี ที่ไม่สวยหรูเลย และเมื่อนายจ้างสำรวจงานชิ้นนี้ นายจ้างได้ยื่นกุญแจให้ แล้วบอกกับช่างไม้ว่า " นี่คือบ้านของคุณ...ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ " เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า น่าละอายจริงๆ ถ้าเขารู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่ เขาคงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้ เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเอง ด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆวันละเล็ก วันละน้อย และบ่อยครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการสรรสร้างชีวิตของตัวเอง และเมื่อวันๆหนึ่งมาถึง เราก็จะตระหนักว่า เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด และเมื่อถึงวันนั้น เรามักจะพูดเสมอว่า ถ้าเราสามารถกลับไปได้ เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพวกเราทุกคนก็คือช่างไม้ ในทุกๆวัน พวกเรากำลังตอกตะปู ปูกระดาน หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงชีวิตให้กับตัวเอง ดังคำพูดที่ว่า " ชีวิตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง " ทัศนคติ และทางเลือกต่างๆที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้ ก็เสมือนกับการสร้าง " บ้าน "( ชีวิต ) ที่เราจะต้องอยู่กับมัน ให้กับตัวเอง... ดังนั้นจงสร้างบ้านด้วยความฉลาด ด้วยความตั้งใจ บ้านของเราจะสร้างอย่างไรคงแล้วแต่เรา เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ไม่ว่าบ้านนั้นจะเป็นอย่างไร จงภูมิใจ ..เพราะมันอาจไม่สมบูรณ์อย่างที่เราคิดก็ได้ ฯ

ประทีปไม่มีวันดับ

เมื่อครั้งพุทธกาล มีหญิงขอทานชรานางหนึ่ง นางมักจะเฝ้าดูกษัตริย์ ราชบุตร และประชาชน นำของมาถวายแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวก ไม่มีสิ่งใดที่นางปรารถนายิ่งไปกว่าจะได้กระทำดุจเดียวกันนี้ แต่นางทำได้เพียงไปขอได้น้ำมันมาหน่อยหนึ่งเพื่อเติมประทีปได้ดวงเดียวเท่านั้น นางนำประทีปนั้นไปจุดถวายเบื้องพระพักตร์ พลางตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าหามีสิ่งใดอื่นจะถวาย นอกจากประทีปดวงน้อย ด้วยทานครั้งนี้ในอนาคตกาลขอให้ข้าพเจ้าได้รับแสงสว่างจากประทีปแห่งปัญญาและขอให้สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความมืดมน ให้สามารถช่วยชำระล้างบาปโทษทั้งมวลของส่ำสัตว์ และนำพาเขาเหล่านั้นไปสู่พระนิพพานด้วยเทอญ” ยามดึกคืนนั้น น้ำมันในประทีปทุกดวงต่างแห้งเหือดลงสิ้น แต่ประทีปของหญิงขอทานยังคงส่องสว่างอยู่จนรุ่งสาง เมื่อพระโมคคัลล์มาเก็บประทีป ก็ไม่เห็นเหตุว่า ทำไมประทีปน้อยดวงนี้จึงยังลุกโพลงอยู่ จึงพยายามเป่าให้ดับ แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรประทีปดวงนี้ก็หาดับลงไม่ พระพุทธองค์ได้ทัศนาอยู่ จึงดำรัสว่า “โมคคัลลาน์...เธอปรารถนาจะดับประทีปดวงนั้นหรือ เธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ไม่เพียงแต่เธอจะไม่สามารถดับมันได้ แม้แต่เคลื่อนย้ายก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าเธอจะตักน้ำทั้งมหาสมุทรมารดราดก็ไม่มีทางจะดับมันลง น้ำในสายธารและทะเลสาบทั่วทั้งโลกก็ไม่อาจดับมันได้ ด้วยเหตุว่าประทีปนี้ได้ถวายด้วยแรงแห่งศรัทธาด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เจตนานี้ย่อมเป็นผลบุญอันไพศาล”

รู้เขา รู้เรา ไม่เศร้า ไม่หมอง

รู้เรา รู้เขา ...ไม่เศร้า ไม่หมอง
“ปีหนึ่งผ่านไปไวจริงๆ” คนที่รู้สึกเช่นนี้ เขาว่ากันว่าเป็นคนมีความสุข ส่วนคนที่มีความทุกข์จะรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปช้าน่ารำคาญ...ไม่ว่าจะรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปเร็ว หรือ ช้า ไม่ว่าปุถุชนหรือกัลยาณชนหรือชนใดๆ ก็คงต้องเป็นไปตามธรรมดาของโลก ตามที่พ่อพราหมณ์สอนศรีสุวรรณในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีว่า “อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย” เรามักคิดกันว่า ที่รู้สึก สุข หรือโศก เพราะมีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม จากสังคมที่มีปัญหา ความยากจน ความฉ้อฉลทุจริต ยาเสพติดทุกชนิด... มลพิษในสิ่งแวดล้อม สมยอมต่อความไม่ถูกต้อง จ้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ขาดการปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณี ความเป็นมิตรไมตรีหายไป ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกละเลย เมินเฉยต่อคำสอนในศาสนา เกิดปัญหา สุขยาก ทุกข์ง่าย กันถ้วนหน้า สภาพแวดล้อมที่เป็นปัญหา ทำให้มีความทุกข์ คงจะเป็นจริงอยู่บ้างแต่ไม่ใช่จริงไปเสียทั้งหมด เราคงไม่อาจพึ่งพาใคร ให้ปรับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่เราต้องการได้ทุกเรื่อง เราจะยอมแบกทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือ ...เราจะยอมให้ความเศร้าหมอง ครองใจเราอยู่อย่างนั้นหรือ เราจะไม่หาทางสร้างสุข ปลดทุกข์ให้เบาบางลงด้วยตัวเราเองบ้างหรือ พุทธศาสนาสอนว่า สุข หรือ ทุกข์ ผ่องใส หรือเศร้าหมองขึ้นอยู่กับใจหรือจิตของเราเองทั้งสิ้น พระท่านสอนว่า “สุขหรือทุกข์ อยู่ที่ใจ มิใช่หรือถ้าใจถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุขใสถ้าไม่ถือ ก็เป็นสุข ไม่ทุกข์ใจเราอยากได้ ความทุกข์ หรือสุขนา” คงไม่มีใครสักคน ที่ตอบว่า อยากได้ความทุกข์ ใจถือ คือใจที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปจนได้ทุกข์ ถ้าฝึกจิตหรือใจ ไม่ปรุงแต่ง ก็จะไม่ทุกข์มาก โชคดีที่มนุษย์ถูกฝึกได้ และฝึกตนเองได้ ที่ปรึกษาของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ปฐมนิเทศสมาชิกพรรคเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า “การรณรงค์เลือกตั้ง ก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ต้องรู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด” “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง” รู้เขา เอาชนะศึกภายนอกได้ แต่ชนะศึกภายในต้องรู้เราเสียก่อน รู้เรา คือ รู้อาการ ที่ทำให้จิตของเราไม่ผ่องใส พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสรผ่องใสแต่เศร้าหมองไป เพราะมีอุปกิเลสจรมา” อุปกิเลส เป็นอาการของจิต แจกแจงรายละเอียดกว่ากิเลส 3 กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลงรู้เรา ใครๆ ก็อยากทำได้ แต่ไม่ง่ายรู้เรา มักรู้แต่เรื่องดีๆ ของเรา เรื่องเราที่ไม่ดีมักไม่รู้ รู้เขา มักรู้แต่เรื่องไม่ดีของเขา เรื่องเขาที่ดีๆ มักไม่รู้ ถึงรู้ก็มักไม่พูดวงสนทนาในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในที่ทำงาน ในสังคม ไม่เว้นแม้แต่ในวัดมักพูดถึงคนนั้นคนนี้ - พ่อคนนั้น แม่คนนี้ เป็นคนโลภ โมโหร้ายกาจ โกรธง่าย - อิจฉาริษยา ตระหนี่ขี้เหนียว มารยาสาไถย คุยโม้โอ้อวดดื้อรั้น ดึงดัน แข่งเด่นแข่งดี - มานะถือตน ดูหมิ่นเหยียดหยาม มัวเมาในลาภยศและประมาท เลินเล่อมักง่ายโทษสมบัติเหล่านี้มีทั้งหมด ๑๖ ประการ เรียกว่า อุปกิเลส - มีมากเท่าไร จิตก็ไม่ประภัสสรส่องสว่างมากเท่านั้น สว่างก็จะ - มองเห็นอะไรได้ มืดเกินไป จะมองอะไรเห็นมีแต่คนพูดถึงอาการคนอื่น ใครเคยได้ยินใครพูดอย่างนี้ บ้างไหมฉันเป็นคนขี้โลภ ฉันเป็นคนขี้โกรธฉันเป็นคนขี้ตระหนี่ ฉันเป็นคนขี้อิจฉาฉันเป็นคนขี้โม้ ฉันเป็นคนขี้เมา อุปกิเลส ต้องเป็นอาการที่ไม่ดีแน่นอน เพราะเติม “ขี้” ไว้ข้างหน้าได้อย่างเหมาะเจาะ รู้ว่าอะไรไม่ดี ไปทู่ซี้ทำอยู่ทำไม รู้โลกภายนอกมามากมาย รู้โลกภายในกันบ้างหรือยัง พระท่านสอนว่า โลกภายนอก กว้างไกล ใครๆรู้ โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม อยากรู้โลก ภายนอก มองออกไป อยากรู้โลก ภายใน มองใจตน พระท่านไม่ได้สอนให้ท่องเท่านั้น แต่สอนให้ทำด้วยไม่ว่าปีหนึ่งจะผ่านไปไวหรือช้า ฝึกสติ ตั้งสมาธิ สร้างปัญญาใช้เมตตา ให้อภัย ใจบริสุทธิ์ หยุดคิดปรุงแต่ง เอาใจเขา มาใส่ใจเรา รู้เรา รู้เขา จักไม่เศร้า ไม่หมอง