แสงแห่งพุทธะ

แสงแห่งพุทธะ
มนุษย์ปุถุชนมักถูกกิเลสครอบงำปัญญาอย่างหนาแน่นจนไม่อาจพบแสงแห่งพุทธะได้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีแต่ความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก เมื่อเห็นสิ่งใดที่ตนเองปฏิบัติไม่ได้ แต่ผู้อื่นกระทำได้ ก็จะพากันกราบไหว้อ้อนวอน ให้ผู้นั้นปกปักรักษาจนต้องกลายเป็นผู้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ นายจิม โจนส์ เจ้าลัทธิวิปริตในสหรัฐอเมริกา ผู้เผยแพร่ลัทธิวันสิ้นโลกจนได้สาวกมากมาย และในที่สุด ก็ได้กำหนดวันนัดหมาย ให้สาวกทั้งปวงฆ่าตัวตายหมู่เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็ปรากฏว่ามีผู้หลงเชื่อ อย่างงมงายจนยอมฆ่าตัวตาย
ตามไปนับพัน
ความหลง ที่ปิดบัง ปัญญา แห่งความรู้ (ธรรมญาณแห่งตน) ได้ก่อให้เกิดการกระทำที่ไร้เหตุผล
จนกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะมากมาย เช่น ผู้คนที่พากันเช่ารถบัสแห่กันไปที่บ้านหลังหนึ่งในจังหวัด
ทางภาคใต้ เพราะมีข่าวลือว่าหมาออกลูกเป็นคน ซึ่งทันทีที่ได้ยินผู้คนเหล่านั้นต่างก็ตื่นเต้น อยากจะ
ไปกราบไหว้บูชาเพียงเพื่อจะขอเลขเด็ดแทงหวย ทั้ง ๆ ที่
ลูกหมาที่เพิ่งคลอดออกมานั้นพิการ มีสองขาหน้าแบน ๆๆ และสิ้นใจตายไปแล้ว
ข่าวลักษณะนี้ปรากฏอยู่บ่อย ๆ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หมูออกลูกเป็นหมาหรือเป็นช้าง ต้นไม้ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดพิสดาร ตลอดจนผู้มีอภินิหารอีกหลากหลายเรื่องราว ล้วนเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า......
แม่น้ำแห่งความหลงผิดมิเคยเหือดแห้งไปจากโลกนี้
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่นับถือตัวเองชนิดหลงใหลได้ปลื้มในความดีงาม หรือ ความสามารถที่เหนือ
ผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็มีพฤติกรรมก็ไม่ต่างไปจากผู้หลงคนอื่น ๆ และเขาเหล่านั้นก็อาจสร้างบาปเวร
กรรมเวรโดยไม่รู้ตัวและอย่างประมาณมิได้
จะมีก็แต่ผู้พบ ธรรมะ หรือผู้ที่รู้เท่าทันกิเลสที่มันเกิดขึ้นในใจของเราเอง (ธรรมญาณแห่งตน)
เท่านั้นที่จะสามารถดำรงตนอยู่ในความเสมอภาค เพราะเห็นผู้อื่นมีทุกอย่างเสมอเหมือนกับตน
พระพุทธองค์ ทรงยืนยันถึง ความเสมอภาค ของเวไนยสัตว์ว่ามิได้มิอะไร แตกต่างกันเลย เพราะแต่เดิมมา ปัญญา คือความรู้ มีแหล่งที่เดียวกันและมีสภาวะ คุณสมบัติเสมอเหมือนกันทุกประการ ดังพระวจนะของพระอริยเจ้าที่ว่า “วางมีดลง ....จึงเป็นพุทธะ”
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ ความรู้แจ้งเอาไว้ว่า
“ภายในธรรมญาณย่อมมี องค์ตถาคตแห่งความตรัสรู้ ซึ่งสามารถส่องแสง อันแรงกล้าออกมาทำความสว่างที่ประตูภายนอกทั้งหก และควบคุมไว้ให้บริสุทธิ์”
พระวจนะนี้มีความหมายว่าทุกคนมีความสามารถรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง สามารถควบคุมการเคลื่อน
ไหวแห่งจิตมิให้เกิดกิเลส คือ ความสกปรกที่จะมาทำลายความบริสุทธิ์ แห่งพุทธจิต
ประตูทั้งหก ซึ่งเปรียบเสมือน มหาโจร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อันเป็นหนทางพาให้ความ โลภ โกรธ หลง ไหลวนเวียนเข้าไปใน ธรรมญาณ จนกลายเป้นคนหลงเลอะเลือน
ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
อายตนะ ทั้งหกนี้เป็นต้นกำเนิดที่ก่อให้เกิด อารมณ์ สาม ระดับ คือ หยาบ กลาง และละเอียด ขึ้นอยู่กับอำนาจการปรุงแต่งของจิตญาณที่สั่งสมเอาไว้มากน้อย ทั้งในปัจจุบันชาติ
และจากอดีตชาติ
จิตที่ปรุงแต่อารมณ์ทั้งปวงและสั่งสมจนกลายเป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ใน ขันธสันดาน ได้
กลายเป็น วาสนาบารมี ติดตามไปชาติแล้วชาติเล่า ถึงแม้บรรลุถึงขั้นอรหัตผลแล้ว วาสนาบารมี
ก็ยังติดตามมาได้ ดังเช่น พระสารีบุตร
ครั้งหนึ่ง เศรษฐีท่านหนึ่งเกิดมีศรัทธาใคร่ถวายผ้าจีวรสามผืน จึงได้นิมนต์ให้พระสารีบุตรมารับประเคนที่บ้านของตน ระหว่างทางไปบ้านเศรษฐี ต้องข้ามท้องร่องสามแห่ง พระสารีบุตรกระโดดข้ามท้องร่องแรกด้วยความว่องไว จนเศรษฐีแอบคิดด้วยความขัดใจว่า
“สมณะรูปนี้ดูไม่สำรวม อย่ากระนั้นเลย เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนก็พอ”
เมื่อเดินทางมาถึงท้องร่องที่สอง พระสารีบุตรก็ยังคงกระโดดข้ามไปเช่นเดิม เศรษฐีก็ยิ่งคิดขุ่นเคืองมากขึ้น กำหนดในใจว่าจักถวายผ้าเพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น
พอมาถึงท้องร่องที่สาม พระสารีบุตรไม่กระโดดข้าม แต่กลับเดินอ้อมไปอย่างสำรวม เศรษฐีจึงถามขึ้นด้วยความฉงนสนเท่ห์ว่า “ทำไมท้องร่องนี้พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดข้ามอีก
เล่าขอรับ ? “ อ้าว ถ้า อาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้ โยมก็จะไม่ได้ถวายผ้าเลยน่ะซิ ?
ในอดีตชาติ พระสารีบุตรเคยถือกำเนิดเป็นวานร นิสัยกระโดดโลดเต้นจึงติดตัวมาด้วยแม้ในชาติสุดท้ายที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังมิอาจตัดขาด วาสนาแห่งวานรได้อย่างหมดจด ฯ