น้องสาวคนหนึ่ง
เธอเขียนความฝันที่คล้ายความจริงมาให้อ่าน
ทำให้เป็นเครื่องเตือนสติได้เป็นอย่างดีว่า
จงอย่าได้ประมาทในชีวิต
เพราะพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่รู้สิ่งไหนจะมาถึงเราก่อนกัน
ของขวัญจากความฝัน
ชายรูปร่างสันทัด ดูภูมิฐานผู้หนึ่ง อายุประมาณ 60 เศษ เดินตรงมาหาฉัน แล้วถามคำถามที่แปลกมาก
ชายแปลกหน้า “ คุณชื่อ.........นามสกุล...........ใช่ไหม “
ตัวฉัน “ ใช่ค่ะ ”
ชายแปลกหน้า “ คุณจะต้องตายภายใน เวลา 2 ทุ่มของคืนนี้”
ตัวฉัน “ คุณพูดเป็นเล่น นี่เวลา 6 โมงเย็นเศษ แล้วนะ ”
ชายแปลกหน้า “ ผมไม่ได้พูดเล่น เวลาที่เหลือคุณจะทำอะไรก็รีบทำเสียนะ ”
เมื่อชายแปลกหน้าพูดจบ พร้อมกับอมยิ้มในใบหน้า แล้วเดินจากไป ฉันเองได้แต่ยืนงง แล้วคำถามก็เกิดมีขึ้นมากมาย มันเป็นความจริงหรือ ? แล้วถ้าเป็นความจริงชายผู้นี้รู้ได้อย่างไร และทำไมต้องมบอกฉันด้วย ? และข้อสำคัญชายผู้นี้เป็นใคร ?
ฉันเลยก้มลงดูตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ และอยู่ที่ไหน ปรากฏว่า ฉันอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเห็นไม่ถนัดนัก และกำลังสั่งให้แม่บ้านจัดเก็บเสื้อผ้าอยู่
เมื่อได้สติจึงบอกแม่บ้านไปว่า “เสื้อผ้าทั้งหมดนี้ถ้าไม่อยู่แล้ว ให้แจกให้หมด ไม่ต้องเหลือไว้และให้บอกคุณจอยว่า....ให้เอาชุดขาวใส่ให้ และถ้าจะเอาชุดไว้เป็นที่ระลึก ก็เก็บไว้ชุดเดียว ” แล้วตัวฉันก็เดินจากมาโดยคิดอยู่ในใจว่าเราพร้อมจะไปหรือยัง ยังมีห่วงอะไรอีก ตัดได้ไหม ด้วยเวลาที่เหลือเท่านี้ และแล้วความรู้สึกฉันก็ดับวูบไป ด้วยความคิดว่า นี่ 2 ทุ่มแล้วหรือ
ฉันลืมตาขึ้น ปรากฏว่ามันเป็นเวลาตี 5.30 น ฉันนึกขึ้นมาว่า “ เราฝันไปหรือนี่ แต่ทำไมมันเหมือนจริงมากเลย และถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตจริงใน เวลา 2 ทุ่มคืนนี้ ฉันจะทำอย่างไรดี ”
อย่างแรกคือ ฉันยังโชคดีที่เป็นเวลา ตี 5.30 น ไม่ใช่เวลา 18.30 น ช่วงเย็น เหมือนในความฝัน ยังมีเวลาเกือบทั้งวัน ดังนั้นฉันเลยรีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปใส่บาตร เพราะคิดว่าจะจริงหรือไม่จริง ขอใส่บาตรทำบุญไว้ก่อน ถึงอย่างไรก็ได้บุญติดตัวฉันไป
ตลอดเวลาที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกไปใส่บาตร ฉันคิดว่าต้องรีบหาคำตอบให้ตัวเอง
คำถาม “ ถ้าเป็นจริงตัวฉันพร้อมที่จะไปหรือยัง ”
“ ห่วงทั้งหลาย สามารถสลัดทิ้งได้หรือไม่ ”
“ จะต้องไปหาใคร หรือต้องขอขมาใคร ลาใครหรือเปล่า บอกใครไหม ?”
“ แล้วทั้งหมดนี้จะต้องใช้เวลาเท่าใด จะต้องไปทำบุญที่ไหนอย่างไร ?
ฉันเดินไปถึงร้านขายอาหาร เพื่อซื้ออาหารใส่บาตร ปรากฏว่า กับข้าวยังไม่เสร็จเรียบร้อย ฉันจึงยืนรอในขณะนั้นพระท่านเริ่มออกมาบิณฑบาต และฉันก็มองดูพระท่าน ปรากฏว่าจิตใจฉันที่กำลังว้าวุ่นมีแต่คำถามที่ต้องการคำตอบ กลับค่อยๆนิ่ง จนสงบเหมือนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ความกังวลใดๆกลับหายไปไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งๆที่รอบตัวฉันมีแต่ความวุ่นวาย ของยวดยานพาหนะ คนเดินผ่านไปมา ร้านค้าเริ่มเปิด พ่อค้าร้านอาหารที่ฉันจะซื้อใส่บาตรกำลังทยอยนำอาหารที่สำเร็จแล้วออกมาตั้ง สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับฉันเลย ใจฉันรู้สึกเบาสบายแล้วฉันก็ได้คำตอบทันทีว่าฉันควรจะทำอะไรบ้างฉันรู้สึกว่าฉันยิ้มน้อยๆให้กับตัวเองในคำตอบที่ได้ ฉันไม่รู้ว่าในขณะ นั้นมีใครมองฉันอยู่หรือไม่
เมื่อพ่อค้าจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงสั่งอาหารเพื่อใส่บาตร 4 ชุด พ่อค้ามองฉันแล้วยิ้ม และบอกฉันว่า “ ขอโทษครับที่ช้าไปหน่อย ผมดูคุณแล้วคุณนิ่งมาก และขอโทษนะครับ ดูหน้าตาคุณมีความสุข” ฉันได้แต่ยืนยิ้มแบบงงๆ และตอบว่า “ ขอบคุณค่ะ ”ฉันอธิษฐานจิตเสร็จก็ใส่บาตร แล้วนั่งลงรับพรท่าน วันนี้พระท่านให้พรค่อนข้างยาวกว่าปรกติ เมื่อเงยหน้าขึ้นพระท่านยิ้มๆและพูดว่า “ โยมวันนี้ โยมดูเย็นๆ นิ่งๆ หน้าตามีความสุขนะ ” ฉันได้แต่ยิ้ม (แบบงงๆ เช่นเคย) แล้วก้มกราบท่าน
หลังจากใส่บาตรพระ 1 รูป และสามเณร 3 รูป เสร็จแล้วฉันก็เดินกลับบ้านในระหว่างทางฉันก็กรวดน้ำในใจ และแผ่เมตตาไปตลอดทาง อย่างเช่นที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำ แล้วก็นึกสงสัยว่า ทำไมใครๆถึงดูฉันแปลกไปในวันนี้ คงจะเป็นเพราะสติในปัจจุบัน ที่ฉันสามารถทำได้ (ไม่ทราบว่าฉันเข้าใจถูกหรือไม่) เมื่อกลับถึงบ้านฉันรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าห้องพระสวดมนต์ สมาทานศีล 5 เมื่อเวลา 7.30 น. เจริญภาวนาโดยนึกถึงทุกบุญที่ได้กระทำมา เริ่มจากบุญที่ทำในวันนี้ย้อนหลังไปเมื่อวานนี้ และวันถัดๆไปปรากฏว่าภาพบุญที่ทำมา ทยอยผุดขึ้นให้เห็นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลา 9.30 น.ฉันจำเป็นต้องออกจากภาวนา ก่อนออกจากภาวนาฉันได้แผ่ส่วนบุญให้กับบิดา มารดา ญาติมิตร เจ้ากรรมนายเวร และสัพพสัตว์ทั้งหลาย เนื่องจากวันนี้ ที่บ้านมีงานสังสรรค์ต้องไปเตรียมจัดงาน ทั้งๆที่ในใจไม่อยากลุกออกไปเลย แต่ฉันก็พยายามมีสติในงานที่ทำ ปรากฏว่างานที่ต้องจัดเตรียมก็เสร็จเรียบร้อยเร็วกว่าที่ควร จึงโทรศัพท์หาพี่ยุทธ (พี่ชายที่นับถือ) เพียงบอกว่าวันนี้ และเมื่อวานนี้ ไปทำบุญอะไรมาบ้าง คุยแต่เรื่องบุญ รู้สึกได้เลยว่าใจมันปิติมีความสุขมาก เลยไม่อยากบอกอะไรพี่ชายมาก แล้วก็วางสายไป กำลังนึกว่าจะโทรไปหาแม่ดีไหม ก็พอดีพี่ที่มางานสังสรรค์ มาก่อนเวลา เลยต้องรับรอง แต่ก็พยายามให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา บางครั้งก็ท่องพุทโธอยู่ในใจ นขณะที่คุยกับพี่ๆ แต่แปลกวันนี้กลับทำได้ดี วันนี้พี่ๆหลายคนทักว่า “วันนี้น้อง....ทำไมหน้าใสใส เย็นๆ นิ่งๆ ดูมีความสุข ”ฉันก็ตอบแบบงงๆว่า “ คงเป็นเพราะสนุกกับพี่ๆไง ไม่ได้พบกันนาน” สุดท้ายงานลี้ยงก็เลิกเวลา 18.00 น. พวกพี่ๆทยอยกันกลับบ้าน หลังจากนั้นก็ล้างเก็บของ พยายามทำทุกอย่างให้มีสติตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร กว่าจะเสร็จงานฉันเหลือบดูเวลา ประมาณ 20.30 น. ฉันก็ยิ้มกับตัวเองแล้วก็นึกว่าฝันก็คือฝัน หลังจากนั้นฉันก็อาบน้ำ สวดมนต์เข้านอนโดยสมาทานศีล 5 ก่อนนอน แผ่เมตตาให้กับสัพสัตว์ทั้งหลาย และท่องพุทโธ แล้วยิ้ม (ตามพระอาจารย์ประสงค์ ท่านแนะนำ ) เพราะเดี๋ยวศพไม่สวย
ก่อนนอน ฉันนึกขอบคุณความฝัน เพราะทุกครั้งที่อ่าน ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ที่ประทานต่อพุทธบริษัททั้งหลายให้ไม่ประมาทกับชีวิต ชีวิตเรามีความตายเป็นธรรมดา ฉันเองอ่านแล้วก็เข้าใจ แต่ไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งนัก เหมือนอ่านแล้ว รู้แล้ว แต่จากความฝันนั้น เป็นความเข้าใจแบบลึกซึ้ง ให้รู้ว่าเราจะประมาทไม่ได้ และให้เตรียมตัวตายไว้ตลอด ฉันได้ทดสอบเตรียมตัวตายในวันนี้ ตั้งแต่เช้าทดสอบตัวเองว่าถ้าฉันต้องตายในวันนี้ ฉันจะตัดห่วงทั้งหลายได้หรือไม่ คำตอบคือ
1. ห่วงทรัพย์สินตัดง่ายทันที ไม่ต้องห่วงเพราะไม่ได้สะสมอะไรไว้ มากมาย คนข้างหลังจัดการได้ง่าย เพราะเคยแจงรายละเอียดไว้เรียบร้อยแล้ว
2. ห่วงลูก ก็ตัดไม่ยากเท่าใด เพราะจากการที่เคยฝึก และปฏิบัติมาก่อนหน้านี้ ว่าทุกชีวิตมีทางของตัวเอง ฉันคิดว่าเตรียมลูกให้เป็นคนดีได้พอควร ถึงแม้ฉันอยู่ก็คงจะไปลิขิตชีวิตของเขาไม่ได้ เขาทั้ง 2 โตที่จะดูแลตัวเอง และสร้างอนาคตให้ตัวเองได้แล้วว่าจะเดินไปทางใด
3. ห่วงแม่ ห่วงนี้กลับตัดยากเพราะคิดว่าชีวิตนี้ฉันเองยังทดแทนคุณแม่ไม่หมด แต่นึกไปแล้วถ้าไม่มีฉันจริง น้องๆทุกคนก็รักแม่พร้อมที่จะดูแลแม่อยู่แล้ว เสียดายที่ไม่อาจนำธรรมะให้แม่แทนคุณแม่ได้
4. ห่วงสามี ตัดได้ไม่ยากเพราะคิดว่าชีวิตเราที่ผูกพันกันมาในชาตินี้ ฉันเองคิดว่าทำดีที่สุดที่ฉันจะทำได้ เพียงแต่เสียดายที่ไม่อาจชักชวนสามีให้เข้าหาธรรมได้อย่างถ่องแท้
5. ความโลภ โกรธ หลง พร้อมที่จะวางได้ทันที และอโหสิกรรมได้ง่าย ไม่เหลือติดค้าง
สรุปแล้ว ฉันให้คำตอบกับตัวเองได้ว่า ถ้าฉันต้องตายภายในวันนี้ หรือเดี๋ยวนี้ ฉันพร้อมที่จะตายโดยไม่มีห่วงใดๆ ให้ยึดเหนี่ยว เพียงแต่ ณ ลมหายใจสุดท้ายของฉัน ฉันมีสติพอที่จะเลือกภพที่จะไปได้หรือไม่ บุญฉันมีพอที่นำฉันไปในที่ดีหรือไม่ ฉันเองยังคงต้อง สร้าง ทาน ศีล ภาวนา อยู่กับปัจจุบัน และฝึกตายให้มากขึ้น ขอบคุณความฝัน ทำให้ฉันลดความประมาทลงไปได้มาก เหนือสิ่งอื่นใดฉันโชคดีที่ได้เกิดมาในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสพบกัลยาณมิตรที่ดี ที่คอยแนะนำชี้แนะแนวทางที่ถูก มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถึงแม้ว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็ทำให้ฉันได้เข้าใจความเป็นไปของชีวิตมากขึ้น ได้รู้ว่าภพชาติหนึ่งฉันเกิดมาทำไม ขอเพียงให้ความสำนึกรู้นี้ติดตัวฉันข้ามภพ ข้ามชาติต่อไปในวัฎฎะเพื่อที่จะศึกษา และปฏิบัติธรรมได้ต่อเนื่องอย่าได้หลงออกเส้นทางนิพพานอีกต่อไป
บันทึกนี้ฉันเขียนขึ้นเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ประมาท ฉันถือว่าโชคดีเพราะมีเทวดามาให้บททดสอบแล้ว ด้วยอำนาจคุณพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจคุณพระธรรมเจ้า ด้วยอำนาจคุณพระสงฆเจ้า บุญกุศลใดใด ที่ฉันได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ทั้งที่ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดีฉันขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่เทวดาที่มาบอกกล่าวให้ฉันไม่ประมา ท ให้ท่านมีความสุข ปราศจากความทุกข์ ถ้ามีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ถ้ามีสุขขอให้ท่านสุขยิ่งๆขึ้นไปเถิด
ส่วนตัวฉันขอมีพระพุทธองค์ พระสัจธรรมของพระองค์ สงฆ์สาวกที่แท้จริงของพระองค์เป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิต เป็นเช่นนี้ทุกภพ ทุกชาติ จนถึงที่สุดแห่งธรรมเถิด ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น