พุทธทาสภิกษุและมหาตมะ คานธี กับปรัชญาการเมือง

พุทธทาสภิกษุและมหาตมะ คานธี กับปรัชญาการเมือง
*************
หลักแนวความคิดที่สำคัญ ของพุทธทาสภิกขุ กับ มหาตมะ คานธี
๑.   แนวความคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุนั้น มีพื้นฐานแนวความคิดอิงหลักทางพระพุทธศาสนา
เป็นสำคัญโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเถรวาท พระพุทธศาสนานิกายเซน และศาสนาอื่น ๆ เช่น คริสต์ศาสนา เป็นต้น คุณค่าการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางศาสนา กับแนวความคิดทางการเมืองของท่านสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วนคือ
ส่วนแรก แนวความคิดของท่านมีคุณค่าทางด้านจิตใจ ด้วยท่านเสนอว่า ระบบการเมืองใดก็ได้ถ้าหากประกอบด้วยธรรมแล้ว ถือว่าเป็นรูปแบบการเมืองที่ดีที่สุดในทัศนะของท่าน
ท่านได้เสนอแนวความคิดทางการเมืองแบบ “ธรรมิกสังคมนิยม” เราอาจนำความคิดของท่านไปเป็นระบบจริยธรรมทางการเมือง หรือ ทางรัฐศาสตร์ อุดมคติทางการเมืองและเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองได้
         ส่วนที่สอง ด้านการบริหารจัดการการปกครองนั้น ท่านเห็นว่าปกครองสามารถใช้วิธีการเผด็จการโดยธรรมได้ในคราวจำเป็น ท่านเสนอให้เป็นข้อเลือกของผู้ปกครองที่จะนำวิธีการนี้ในบางคราวของเหตุการณ์บ้านเมือง แต่ผู้ปกครองนั้นต้องมีธรรมกำกับ จึงจะเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุด ท่านเน้นการประยุกต์ใช้หลักธรรมสำหรับผู้ปกครองมากกว่าผู้อยู่ใต้ปกครอง ด้วยเหตุผลว่า การประยุกต์ใช้หลักธรรมกับผู้ปกครองเพียงคนเดียวง่ายกว่าจะทำให้ผู้อยู่ใต้ปกครองจำนวนมากมีธรรม แนวความคิดทางการเมืองแบบ “ธรรมิกสังคมนิยม) เป็นสังคมนิยม” เป็นสังคมนิยมอุดมคติ ท่านเน้นการไม่สะสมส่วนเกิน การไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมีความเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่เมตตากรุณาต่อกัน ต้องทำงานในส่วนของตนและเจียดจ่ายส่วนเกินให้แก่ผู้อื่น แม้ว่าแนวความคิดทางการเมืองแบบนี้จะมีความแตกต่างระหว่างชนชั้น แต่ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั้นเต็มไปด้วยความเมตตา กรุณาต่อกัน หลักธรรมที่ พุทธทาสภิกขุ นำมาประยุกต์ใช้กับ “ธรรมิกสังคมนิยม”คือหลัก ทศพิธราชธรรม, มรรคมีองค์ ๘, โพชฌงค์ ๗, อิทธิบาท ๔, ศีล สมาธิ ปัญญา และหลักเมตตาธรรมเป็นต้น ๒.  แนวความคิดทางการเมืองของมหาตมะ คานธี คิดว่า ท่ามกลางปัญหา และความขัดแย้งต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยวิธีการรุนแรง หรือวิธีแห่งสงครามเสมอไป มนุษย์ยังมีทางเลือกอื่นช่วยในการลดปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งท่านเรียกว่า หลักอหิงสา คือความไม่เบียดเบียน เป็นวิธีที่ลดปัญหาความขัดแย้งได้ และท่านก็ได้นำวิธีดังกล่าวมาใช้เรียกร้องเอกราชให้กับอินเดีย หลักอหิงสา ตามปรัชญาของคานธี คือความไม่เบียดเบียน ซึ่งถือว่าเป็นหลักใหญ่และเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด โดยจะสามารถแยกได้ดังนี้
๑.   ความรัก เป็นหัวใจของอหิงสา ไม่มีใครที่จะสามารถต้านทางความรักที่บริสุทธิ์ได้ และด้วยความรักที่บริสุทธิ์นี้ ท่านได้ชนะจิตใจของประชาชนและชนะจิตใจศัตรูของท่านได้
๒.  ความอดทน หลักอหิงสา ต้องอาศัยความอดทนอย่างใหญ่หลวง จึงจะสามารถนำผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่มาได้ มันไม่ใช่วิธีที่จะได้มาในเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็เป็นวิธีที่แน่นอนและถูกต้องที่สุดในการที่จะเอาชนะจิตใจ และความรักจากผู้อื่นได้
๓.  ความกล้าหาญ หมายถึง การปราศจากความกลัวในทุกลักษณะ เช่น ความกลัวตาย ความกลัวความประทุษร้าย กลัวความยากจน หิวโหย เป็นต้น ซึ่งชีวิตของคานธี ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของบุคคลที่กล้าหาญ และปราศจากความกลัว
๔.  ความบริสุทธิ์ คานธี จะค่อยตรวจสอบชำระจิตใจของตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่เสมอในทางการเมือง คานธี จะใช้วิธีสงบแต่เฉียบขาด บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ และความยุติธรรมเสมอ เมื่อใดที่ท่านเห็นว่าประชาชนของท่านเริ่มใช้วิธีรุนแรง ท่านจะทักท้วง และถ้าจำเป็นท่านก็จะหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมด โดยจะหันมาสำรวจความบกพร่องของตนเองและประชาชนของท่าน
๕.  ความซื่อสัตย์และความจริงใจ มหาตมะ คานธี เชื่อว่า ทั้ง ๒ สิ่งนี้ จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์
และภาระยุ่งยากทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นได้ ความตั้งใจจริงของ คานธี ที่จะดำเนินตามหลักอหิงสา ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากที่ต่าง ๆ เช่นหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้เคยกล่าวสรรเสริญ คานธี ไว้ตอนหนึ่งว่า “เขาเป็นบุคคลที่มีไม่อันตราย เขาได้ทิ้งพลังทางใจไว้ให้อนุชนรุ่นหลังไว้เป็นมรดก ซึ่งสักวันหนึ่งในกาลข้างหน้า อำนาจพลังทางใจดังกล่าวจักต้องมีเหนือกำลังรบและอาวุธยุทธภัณฑ์ และเหนือลัทธิประหัตประหารกันอย่างหฤโหด”
มหาตมะ คานธี มีพื้นฐานความคิด อิงหลักศาสนาฮินดู โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางศาสนาฮินดู คุณค่าแนวความคิดของท่านอาจแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน
            ส่วนแรก คุณค่าทางด้านจิตใจ โดยท่านได้นำวิธีการแบบ “อหิงสา” มาใช้กับแนวความคิดของท่าน อหิงสา เป็นผลของหลักสัตยาเคราะห์ในภาคปฏิบัติ หลักการสัตยาเคราะห์เป็นหลักการที่ท่านสร้างขึ้นมาเองโดยท่านได้รับอิทธิพลจากการขัดเกลาทางสังคมระหว่างศาสนาต่าง ๆ การใช้วิธีต่อสู้ทางการเมืองแบบ “อหิงสา” เป็นแบบจริยธรรมของอินเดีย คือการไม่ใช้ความรุนแรง (Non-Violence) และเน้นพลังแห่งความรัก พลังแห่งความดีงามมาแก้ปัญหาทางการเมือง รวมทั้งผู้ปกครองจะต้องเอื้ออำนวยต่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว ท่านเน้นหลักธรรมสำหรับผู้ที่อยู่ในสังคมทุกคน
            ส่วนที่สอง ในทางการเมือง มหาตมะ คานธี นำวิธีการ “อหิงสา” มาเป็นวิธีกาต่อต้านผู้ปกครองที่ไม่ธรรมจนประสบความสำเร็จนำเอกราชมาสู่อินเดียได้ สัตยาเคราะห์เป็นทั้งหลักการ การบริหารจัดการและเป็นขบวนการต่อสู้ทางการเมืองแบบเฉพาะของ มหาตมะ คานธี หลักการเด่นของ “สัตยาเคราะห์” คือการไม่ใช้ความรุนแรง (Non-Violence) เป็นการต่อสู้ระหว่างความดี และความชั่ว สัตยาเคราะห์ขึ้นอยู่กับหลักการ ๒ อย่างคือ
๑.   สัจธรรมและศรัทธาในสัจธรรม
๒.  การดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมั่งคง
และหลักการสัตยาเคราะห์นี้จะต้องบรรลุถึงวัตถุประสงค์ตามหลักธรรม ๓ ประการคือ
๑.   สัจธรรม (Truth)
๒.  อหิงสธรรม  (Non-Violence)
๓.  ตปธรรม (Self-Torture)
            ๓.  ทั้งพุทธทาสภิกขุ และมหาตมะ คานธี มองการเมืองในแง่วิวัฒนาการทางธรรมชาติ และสังคมก่อให้เกิดความจำเป็นในการที่จะต้องมีผู้ปกครองที่มีธรรมเข้ามาปกครอง โดยการเน้นคุณธรรมของผู้ปกครองและผู้นำการต่อสู้ทางการเมือง แนวความคิดทางการเมืองของท่านต่างก็เน้นการพัฒนาจิตใจ และมีพื้นฐานที่เชื่อว่าทุกคนเกิดมามีความไม่เท่าเทียมกันทั้งกำลังสติปัญญาและความสามารถ สังคมมีชั้นสูงต่ำตามหน้าที่และปกครองกันตามลำดับ ทั้งสองท่านได้เสนอแนวความคิดทางการเมืองตามทัศนะของแต่ละท่านโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางศาสนาของตนเอง และหลักศาสนธรรมร่วมของศาสนาอื่น ๆ
            พุทธทาสภิกขุ เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเถรวาท วิธีนำเสนอแนวคิดทางการเมืองของท่านจึงกระทำการโดยผ่านคำสอนทางศาสนา ส่วน มหาตมะ คานธี นอกจากเป็นนักการเมืองแล้ว อีกบทบาทหนึ่งของท่านยังเป็นนักการศาสนา นักศีลธรรม ดังนั้น แนวคิดทางการเมืองของท่านสามารถนำมาทดลองด้วยตนเองได้ อย่างไรก็ตามเมื่อดูจุดมุ่งหมายของทั้งสองท่านแล้ว ล้วนมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือความสันติสุข และสงบสุขของบ้านเมือง จะต่างกันอยู่แต่เพียงว่า พุทธทาสภิกขุ เน้นความสงบทั้งแบบโลก (โลกิยะสุข) และแบบความสงบสุขที่อยู่เหนือโลก (โลกุตตรสุข) อิงตามหลักทางพระพุทธศาสนาเถรวาทในขณะที่ มหาตมะ คานธี มุ่งเป้าหมายให้เกิดความสงบและสันติสุขในสังคมการเมืองอิงตามหลักศาสนาฮินดู
การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย หรือในที่ไหน ๆ ในโลกเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะนักการเมืองที่ทุจริตฉ้อโกงมักจะได้โอกาสเข้ามาฉ้อฉลระดับชาติได้เสมอ คราใดที่ประชาชนขาดการศึกษาเรื่องปรัชญารัฐศาสตร์ และขาดการใส่ใจในประโยชน์ส่วนรวม หากได้เข้าใจ อหิงสา” “สัตยาเคราะห์  อย่างดีแล้ว จะได้เข้าใจวิธีต่อสู้กับความรุนแรงโดยอำนาจรัฐ ด้วยการใช้ความไม่รุนแรงของประชาชนพลเมืองได้ 
 ____________________________
ดร.ธนเดช อ่อนศรี
ป.ธ ๓ , MA., Ph.D (Philosophy)
Dr. B.R. Ambedkar University, Agra, India

ไม่มีความคิดเห็น: